พระธาตุพนม อ. ธาตุพนม พระธาตุประจำวันเกิดของ  ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์
เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์มีผู้คนให้ความเคารพนับถือ

 พระธาตุเรณู อ. เรณูนคร พระธาตุประจำวันเกิดของ  ผู้ที่เกิดวันจันทร์
ชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้มีวรรณะผุดผ่องดังแสงจันทร์

พระธาตุศรีคุณ อ. นาแก พระธาตุประจำวันเกิดของ  ผู้ที่เกิดวันอังคาร
เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้มีศักดิ์ศรีทวีคูณ
                                   
พระธาตุมหาชัย อ. ปลาปาก พระธาตุประจำวันเกิดของ  ผู้ที่เกิดวันพุธ
เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ประสบชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง

 พระธาตุประสิทธิ์ อ. นาหว้า พระธาตุประจำวันเกิดของ  ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี
เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน

พระธาตุท่าอุเทน อ. ท่าอุเทน พระธาตุประจำวันเกิดของ   ผู้ที่เกิดวันศุกร์
เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้มีชีวิตรุ่งโรจน์ดุจดังพระอาทิตย์ขึ้นยามรุ่งอรุณ

พระธาตุนคร อ. เมือง พระธาตุประจำวันเกิดของ  ผู้ที่เกิดวันเสาร์
เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้มีบุญบารมีเป็นเจ้าคนนายคน
                               

แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในอำเภอนาแก  >>

    วัดธาตุศรีุคุณ    เดิมชื่อ  วัดธาุุตุสีคุณ

วัดธาตุศรีุคุณ  เดิมเป็นวัดร้าง  สร้างขึ้นในสมัยโบราณ  ถูกค้นพบเมื่อประมาณพุทธศักราช  2340 - 2360  โดยคณะผู้อพยพ
ที่เข้ามาในอำเภอนาแกเป็นรุ่นแรก  ได้เิดินสำรวจหาที่ตั้งหมู่บ้าน  แล้วได้พบเจดีย์โบราณกลางป่า  มีขนาดฐานกว้าง 12 เมตร  ก่อด้วยอิฐฉาบปูน
เจดีย์มีลักษณะเอนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ  และตรงกลางมีโคลนเกาะอยู่  รูปทรงคล้ายกับพระธาตุพนม  และในบริเวณเดียวกันได้พบหอคุณ
(ศาลหลักเมือง) ที่ทำด้วยท่อนไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่  อยู่ในบริเวณเดียวกัน   เมื่อสำรวจพบว่าบริเวณรอบๆ  เหมาะที่จะตั้งบ้านเรือน  จึงอพยพผู้คน
มาอยู่อาศัย  แล้วทำการถางป่า  ทำไร่ ทำนา  และบูรณะวัดขึ้นใหม่และได้ตั้งชื่อว่า  วัดธาตุศรีคุณ  ซึ่งแต่ละคำเหล่านี้มาจากสิ่งสำคัญที่ถูกค้นพบ  คือ
 คำว่าธาตุ    มาจาก   เจดีย์  คำโบราณเรียกว่า  " ธาุตุ "
คำว่าศรี    มาจาก   คำว่า สี  หมายถึง  การที่ช้างเอาข้างสีแก้คัน
คำว่าคุณ    มาจากสิ่งที่พบ คือ  หอคุณ  

      
     
พระธาตุศรีคุณ อ. นาแก พระธาตุประจำวันเกิดของ  ผู้ที่เกิดวันอังคาร  เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้มีศักดิ์ศรีทวีคูณ


    วัดภูพานอุดมธรรม/ตำนานดานสาวคอย

                                        ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าต่อๆ กันมาว่า  สมัยก่อนเทือกเขาภูพานนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มาก  มีสัตว์ป่ามากมายต้นไม้เขียวขจี
ในป่าที่อุดมสมบูรณ์มีลานหินมากมาย  และมีลานหินลานหนึ่งที่มีความร่มเย็น  ซึ่งเป็นที่ที่หนุ่มสาวคู่หนึ่งนัดเจอกัน  ความรักของทั้งคู่กำลังบานสะพรั่ง
และเป็นความรักที่บริสุทธิ์  ความรักของพวกเขาไม่ได้ราบรื่นสวยงามเหมือนถนนที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ  เนื่องมาจากชายหนุ่มผู้เป็นคนรัก  นั้นเกิดมา
ในครอบครัวที่มาฐานะยากจนมากๆ  แต่เขาก็รักคนรักของเขาด้วยใจที่บริสุทธิ์   ผู้เป็นฝ่ายหญิงก็ไม่เคยรังเกียจหรือดูถูกฝ่ายชายเลย  มีแต่ทวีความรัก
ให้ฝ่ายชายมากขึ้นทุกวัน  แต่ความรู้สึกของพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ได้คิดเหมือนที่ลูกสาวของตนคิด  เขาจึงอยากได้ลูกเขยรวยและเหมาะสมกับฐานะของตน
พ่อแม่ของฝ่ายหญิงจึงทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางความรักของลูก  โดยไม่ยอมให้สองคนนั้นได้พบเจอหน้ากันเลย  แล้วเรื่องเศร้าก็เกิดขึ้น  เมื่อฝ่ายหญิง
ได้เขียนจดหมายไปให้ฝ่ายชาย โดยฝากไปกับคนใช้ที่บ้าน   เพื่อนัดเจอกันที่ลานหินบนภูเขาที่นัดเจอกันเป็นประจำ  แต่พ่อแม่ฝ่ายหญิงได้กำชับและย้ำ
กับคนใช้ทุกคนว่า  ถ้าผู้เป็นลูกสาวตนฝากของให้ใครต้องเอามาใ้ห้ตนดูก่อน  ผู้ที่เอามาให้ดูจะได้รับรางวัลอย่างงาม  เมื่อถึงวันเวลาตามที่นัดหมาย
ฝ่ายหญิงก็ได้ไปรอตามนัด   และก็รอจนแล้วจนเล่าชายคนรักก็ไม่มา  ฝ่ายหญิงเสียใจมากที่ชายคนรักไม่มาตามนัดจึงได้ตรอมใจตาย  ณ หน้าผาแห่งนั้น
จนเมื่อหลายวันผ่านไป  ผู้เป็นพ่อแม่รู้สึกเอะใจเหตุใดลูกสาวจึงไม่ยอมกลับบ้าน  จึงส่งคนออกตามหา  และก็พบเพียงร่างไ้ร้วิญญานของลูกสาว
เมื่อชายคนรักรู้ข่าวจึงเสียใจมาก  เขาไปที่หน้าผาแห่งนั้น  แล้วกระโดดหน้าผาตายตามหญิงคนรักไป
หลายปีผ่านไป  ก็ได้มีพระธุดงค์ผ่านไปแถวนั้นและได้ปักกรดบำเพ็ญภาวนาที่หน้าผาแห่งนั้น  พระธุดงค์เห็นเป็นที่
ี่ัเหมาะสมที่จะเป็นวัด  จึงได้ไปบอกบุญแก่ชาวบ้านมาสร้างวัด  และวัดนั้นก็ได้ชื่อว่า  " วัดดานสาวคอย "  และปัจจุบันได้รับพระราชทานชื่อจาก
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินีนาถ ว่า   " วัดภูพานอุดมธรรม "  และเกิดเป็นหมู่บ้านใหม่ขึ้นมา  เรียกว่า   " บ้านดานสาวคอย" 

ดานสาวคอยเป็นหมู่บ้านหนึ่งในตำบลนาแก  อำเภอนาแก  จังหวัดนครนพนม  ดานสาวคอยตั้งอยู่ติดเชิงเขาของ
เทือกเขาภูพาน  เป็ํนหมู่ที่ตั้งชื่อตามตำนานที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าต่อกันมาช้านาน  " ดาน "  ในที่นี้หมายถึง  หินดินดานหรือลานหินนั้นเอง

    
            

  พระธาตุเจดีย์  8 หมื่น  4  พัน  พระธรรมขันธ์ (พระธาตุเจดีย์ทราย)
                                                   
พระเจดีย์ทรายวัดป่าเทพนิมิตสามัคคีธรรมนี้  จะกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างครั้งที่ 2  ของพระศาสนาพระัสัมมาพุทธเจ้าศรีศากยมุนี
(โคตมะ)  ในทางที่เป็นรูปธรรมศาสนวัตถุถาวร  พระมหาเถระอุปคุตกล่าวไว้ว่า  การจะสร้างพระธาตุเจดีย์  8  หมื่น  4  พัน  พระธรรมขันธ์  ต้องได้
พุทธกาลเสียก่อน  เพราะเป็นเจดีย์คู่พระศาสนาจะอยู่จนถึงห้าพันปี  รูปร่างทรงพระเจดีย์คลายกองฟางหรือกองทราย  รองพระเจดีย์มีเจดีย์องค์เล็ก
จากฐานถึงยอดมี  8  หมื่น  4  พัน  องค์  พญานาคสามเศียรที่ล้อมรอบองค์เจดีย์ี  มีอยู่  5  ตน  หรือ  5  พระโพธิสัตว์  และมีพระพุทธรูปล้อมรอบ
ลานองค์พระเจดีย์ทั้งสิ้น  159  องค์

ความหมายขององค์พระเจดีย์โดยสังเขป  พญานาค  5  ตน  หรือ  พระโพธิสัตว์  5  พระองค์  คือ  1. พระกกุสันธะ
2. พระโกนาคมนะ  3. พระกัสปะ  4. พระโคตมะ  5. พระศรีอริยเมตไตรย์  พระโพธิสัีตว์ทั้ง  5  พระองค์  ล้วนเคยเป็นพญานาคเมื่อมาตรัสรู้
ก็รู้ธรรม  8  หมื่น  4  พัน  พระธรรมขันธ์  อันเดียวกันนี้  ส่วนพญานาคที่มีสามเศียร  บ่งซึ่งความหมายถึง  ศีล  สมาธิ  ปัญญา  และเป็นพญานาคที่
คู่กับพระศาสนา  ปกป้องพระพุทธศาสนา   ในทางพระพุทธศาสนาบุคคลที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาที่จะมาอุปสมบท  จะต้องนุ่งขาวห่มขาว
ที่เรียกว่า  " บวชนาค "  เพื่ออบรมบ่มนิสัย  เพื่อให้จิตใจยึดมั่นในพระรัตนตรัย  อันมีพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  และมี  ศีล  สมาธิ  ปัญญา
ยึดเหนี่ยวจิตใจ  ย่อมจะรักษาพระธรรมคำสั่งสอนของ  องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้  ย่อมยังความเจริญให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองสืบไป
                                                                                          
      
                                  
วัดป่าเทพนิมิตเจดีย์สามัคคีธรรม  ตั้งอยู่ที่บ้านนาคู่น้อย  หมู่ 9  ตำบลนาคู่   อำเภอนาแก  จังหวัดนครพนม
 

    วัดป่าสันติการาม    


  
พระนอนขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่  ณ  วัดป่าสันติการาม  ตั้งอยู่ที่บ้านนาโสก  ตำบลบ้านแก้ง  อำเภอนาแก  จังหวัดนครพนม


   อนุสรณ์สถานแห่งความสงบภูพานน้อย  

 อำเภอนาแก  เป็นอีกที่หนึ่งที่มีประวัติของคอมมิวนิสต์